ดูแลความสวยในวัย 40+

นพ.มาศ ไม้ประเสริฐ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ ผู้บริหาร S-Mart Clinic Anti-Aging & Aesthetic Center ได้ให้ข้อมูลอย่างละเอียดเกี่ยวกับเรื่องการดูแลความงามของคนวัย 40+ โดยให้ความเห็นว่า เพราะคนเรามีความเสื่อมมาตั้งแต่เกิด เพียงแต่ในวัยเด็กนั้นการเจริญเติบโตเกิดขึ้นมากกว่าจึงทำให้มองเห็นส่วนของผิวพรรณที่ดูเปล่งปลั่งสดใสและร่างกายที่เจริญเติบโตไปในทางบวกมากกว่า

แต่ปัจจัยเหล่านั้นจะเริ่มลดลงเมื่ออายุ 20-25 เป็นต้นไป ซึ่งจะเริ่มพบว่าร่างกายจะเริ่มดูเสื่อมโทรมลงไปเรื่อยๆ แต่อย่างไรก็ตามแม้ว่าเราจะอายุมากขึ้นแต่ถ้าสามารถชะลอปัจจัยที่ทำให้เกิดความเสื่อมหรือปัจจัยเชิงลบให้เหลือน้อยลงและเพิ่มปัจจัยเชิงบวกให้มีมากขึ้นมากเท่าใดก็จะยิ่งทำให้เราดูดีขึ้นมากเท่านั้นเพราะสมดุลของปัจจัยเชิงบวกและปัจจัยเชิงลบ คือสิ่งที่ทำให้คนวัยเดียวกันแก่ไม่เท่ากัน

ซึ่งคอลัมน์นี้คุณหมอมาศจะพาไปพบกับคำตอบของวิธีที่จะทำให้สาววัย 40+ เป็น 40 ยังแจ๋ว ไม่แพ้สาววัยเลข 2 หรือเลข 3 กันเลยทีเดียว

ปัญหาของคนวัย 40+

ในคนวัยนี้ปัญหาเรื่องรูปลักษณ์เป็นสิ่งที่สำคัญมากหลายคนที่ปล่อยปละละเลยมานานพอรู้ตัวอีกทีก็เข้าสู่เลข 4 ซะแล้ว ถ้าพูดเรื่องความแก่ปกติในผู้ชายจะแก่ก่อนผู้หญิง คือเริ่มแก่ตั้งแต่ตอนอายุประมาณ 30ปี ในขณะที่ผู้หญิงจะเริ่มแก่ตอนอายุ 40 ปี  

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของริ้วรอย ภาวะหัวล้าน ไขมันรอบเอง อ้วนลงพุง ผู้ชายจะเริ่มปรากฏเห็นสิ่งเหล่านี้ได้ก่อน แต่ในผู้ชายนั้นลักษณะเหล่านี้เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะค่อยๆ ดำเนินไปอย่างช้าๆ เนิบๆ ซึ่งแตกต่างจากผู้หญิง ซึ่งแม้สัญญาณความชราจะเกิดขึ้นทีหลังแต่พอเกิดแล้วภาวะเหล่านี้จะปรากฏเห็นเด่นชัดอย่างรวดเร็วเหมือนดิ่งลงเหว เรียกว่ามาทีเดียวครบเซ็ท ทั้งตีนกา รอยเหี่ยว รอยย่น กระ ฝ้า ปัญหาหน้าบาน คางย้อย แก้มห้อย ถุงใต้ตา คาง 2 ชั้น หรือไขมันสะสมเซลลูไลท์ตามแขนขา ภาวะผมร่วงก็จะร่วงเป็นกำๆ  

แต่ภาวะเหล่านี้ก็ใช่ว่าจะเกิดขึ้นเท่าเทียมกันทุกคน ซึ่งย่อมขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองของแต่ละคน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาด้วย  

ความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้น

ผิวชั้นบน ผิวชั้นกลาง ผิวชั้นกล้ามเนนื้อ
  • ผิวชั้นบน เมื่อผิวมีการแบ่งตัวน้อยลง ผิวจะเริ่มบางลง ขาดความชุ่มชื้น แห้งและลอกง่ายขึ้น มีริ้วรอยมากขึ้น ระคายเคืองง่ายขึ้น เม็ดสีถูกกระตุ้นได้ง่าย ทำให้ผิวแลดูหมองคล้ำ เกิดจุดด่างดำ อาจมีฝ้า กระ หรืออาจจะมีการควบคุมการแบ่งตัวของผิวที่ผิดปกติไป ทำให้มีลักษณะของติ่งเนื้อต่างๆ เกิดขึ้นได้
  • ผิวชั้นกลาง เริ่มมีการเสื่อมสภาพอีลาสตินคอลลาเจนหายไปริ้วรอยเริ่มลึกมากขึ้น ถ้าชั้นไขมันหายไปจะเกิดเป็นร่องที่เห็นได้ชัดเจน หรือถ้าไขมันบางส่วนมาพอกพูนผิดที่ก็จะทำให้เกิดความหย่อนคล้อย ซึ่งหมายถึงสัญญาณความชราโดยรวมทั้งหมดนั่นเอง
  • กล้ามเนื้อบนใบหน้า ปัจจัยของกล้ามเนื้อบนใบหน้ามีส่วนสำคัญ เนื่องจากเราใช้กล้ามเนื้อในการแสดงอารมณ์ตลอดเวลาดังนั้นเมื่ออายุมากขึ้น กล้ามเนื้อเหล่านี้ก็จะเหมือนได้รับการบริหารเพิ่มขึ้น จึงทำให้ใหญ่ขึ้นเช่น บริเวณกราม จะรู้สึกว่าทำไมหน้าตอนสาวๆ ดูเรียว แต่พออายุยิ่งมากหน้าก็จะกลับบานออก เมื่อกรามบาน ก็ทำให้ใบหน้าดูบาน และดูใหญ่ขึ้นด้วย และคนในวัยนี้จะมองเห็นริ้วรอยจากการแสดงอารมณ์มากยิ่งขึ้น เช่นบริเวณรอบดวงตา ตีนกา รอยย่นที่หน้าผาก ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากการที่ชั้นของผิวบางลงร่วมด้วยเช่นกัน

นวทางการแก้ไข

อาจจะเลือกวิธีการที่รวดเร็วปัจจุบันทันด่วนนั่นก็คือ”เวชศาสตร์ความงาม”นั่นเอง อย่างเช่นปัญหาริ้วรอย ซึ่งเป็นปัญหาอันดับต้นๆ ของคนวัย 40+ ถ้าริ้วรอยเป็นมาก อาจต้องใช้นวัตกรรมความงามต่างๆ เข้าช่วย เช่นโบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ หรือนวัตกรรมเลเซอร์ทั้งหลายเพื่อช่วยฟื้นฟูสภาพผิว ถ้าเป็นริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงอารมณ์ ซึ่งเกิดเพราะชั้นกล้ามเนื้อก็ต้องแก้ไขด้วยโบท็อกซ์

ถ้าริ้วรอยนั้นเกิดจากชั้นของไขมันแห้งหายไปก็จะต้องใช้สารเติมเต็มฟิลเลอร์

หรือถ้าผิวชั้นกลางหย่อนคล้อย หรือเสื่อมสภาพ ก็จะใช้กระบวนการยกกระชับผิวทั้งหลาย เช่น การฉีดยกกระชับหน้า การใช้เลเซอร์ไปช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน และทำให้เกิดการยกกระชับ เช่น เทอร์มาจ อัลเธอร์รา สการ์เล็ท หรือใช้ไหมร้อยยกกระชับหน้า จนไปถึงขั้นศัลยกรรมผ่าตัดดึงหน้ากันไปเลย

หรือปัญหาแก้มห้อย คางย้อย หรือแก้มใหญ่ อาจแก้ไขด้วยการฉีดสลายไขมันที่แก้มหรือใต้คาง ฉีดโบท็อกซ์ลดกรามลดความใหญ่ของรูปหน้า

Anti-Aging หรือศาสตร์แห่งการชะลอวัย  ช่วยอะไรได้บ้าง

ศาสตร์แห่งการชะลอวัย เป็นสิ่งที่จะมาช่วยฟื้นฟูปัจจัยเชิงบวกให้เสริมเด่นขึ้น และช่วยลดปัจจัยเชิงลบให้เกิดน้อยลง  ยิ่งถ้าใช้ศาสตร์นี้ควบคู่ไกับการใช้นวัตกรรมต่างๆ ร่วมด้วยแล้วนอกจากจะเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาด้วยเครื่องมือ นวัตกรรมต่างๆ ให้ดียิ่งขึ้นแล้วยังทำให้ไม่ต้องไปพึ่งพานวัตกรรมเหล่านั้นบ่อยๆ ทำให้ผลการรักษาอยู่ได้นานขึ้นอีกด้วย จะเห็นว่าบางคนรักษาไปแล้วไม่นานก็กลับมาเป็นอีกทั้งๆ ที่นวัตกรรมบางอย่างทำไปแล้วอยู่ได้ 1-2 ปี แต่บางคนทำไปเพียง 6 เดือน ก็ต้องกลับมาทำซ้ำอีกแล้วนั่นเป็นสัญญาณหนึ่งที่บ่งบอกได้ว่าระบบภายในไม่ได้ช่วยอะไรเลย

ปัจจัยภายในที่ส่งผลต่อสุขภาพและความงาม

ปัจจัยภายในที่สำคัญได้แก่ฮอร์โมน อายุ พันธุกรรม สำหรับอายุและพันธุกรรม เป็นสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้  ส่วนเรื่องฮอร์โมน แม้ว่าพออายุมากขึ้นฮอร์โมนต่างๆ จะลดลงก็ตาม แต่การลดลงของแต่ละคนนั้น จะแตกต่างกันไป 

ในคนที่มีไลฟ์สไตล์ที่แย่ๆ หรือมีปัจจัยเชิงลบมากๆ ฮอร์โมนเหล่านี้จะลดลงเร็วกว่าคนที่มีไลฟ์สไตล์ที่ดีๆ หรือมีปัจจัยเชิงลบน้อยกว่า

เมื่อพูดถึงฮอร์โมนหลายคนจะนึกถึงวัยทอง ซึ่งเป็นวัยที่ฮอร์โมนหมดฮอร์โมนตัวนั้นคือฮอร์โมนเพศหญิง เอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรน ซึ่งเกิดจากรังไข่ โดยจะหมดเมื่ออายุประมาณ 48-52 ปี ส่วนในผู้ชายค่อนข้างโชคดีที่ไม่มีการหมดอายุของอัณฑะ ทำให้ฮอร์โมนเพศชายหรือเทสโตสเตอโรน ผลิตได้ตลอดชีวิต แต่เมื่ออายุมากขึ้นฮอร์โมนตัวนี้ จะเริ่มผลิตน้อยลง จนไม่พอใช้ก็จะมีอาการขาดหรือบกพร่องให้เห็นได้เช่นกัน แต่ใช่ว่าคนเราจะแก่เมื่อฮอร์โมนหมดเท่านั้น บางคนแก่ตั้งแต่อายุ 30 คือก่อนที่ฮอร์โมนเพศจะหมดเสียด้วยซ้ำนั่นเป็นเพราะไม่ได้มีแค่ฮอร์โมนเพศอย่างเดียวเท่านั้น ที่มีผลกระทบต่อความหนุ่ม ความแก่ของเรา แต่ยังขึ้นอยู่กับฮอร์โมนที่สำคัญๆ อื่นๆ ด้วย อาทิ

เป็นฮอร์โมนที่ช่วยเพิ่มความกระฉับกระเฉง ช่วยในการเผาผลาญพลังงานเมื่อการทำงานของไทรอยด์ฮอร์โมนลดลง การเผาผลาญก็จะน้อยลงตาม ส่งผลให้เจ้าตัวมีอาการ เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ขี้เกียจ สมองมึนงง ขี้หลงขี้ลืม ท้องผูก ผิวแห้ง ขี้หนาว ซึมเศร้า ปวดเมื่อยตามตัว ตาบวม และที่พบบ่อยที่สุดคือ น้ำหนักเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่สามารถควบคุมได้  

ปัจจัยทำธัยรอยด์ฮอร์โมนต่ำที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุดคือไลฟ์สไตล์ เช่นความเครียด การอดอาหารเพื่อลดน้ำหนัด การขาดสารอาหาร การขาดวิตามิน โลหะหนักปนเปื้อนจากสิ่งแวดล้อม ฯลฯ ซึ่งพบว่าไลฟ์สไตล์ของคนเมือง มักจะพบภาวะไทรอยด์ต่ำแฝงได้ถึง 65 เปอร์เซ็นต์ และพบได้ทุกช่วงอายุคือตั้งแต่ 20 – 60 ปี (ยิ่งอายุมากจะยิ่งพบมาก) หากตรวจเจอแล้วรีบรักษาด้วยการให้ฮอร์โมนทดแทน เพื่อให้ระดับฮอร์โมนส์อยู่ในภวะที่ทำงานได้สมบูรณ์สูงสุดก็จะสามารถแก้ปัญาหาต่างๆ ที่เป็นผลจากการขาดธัยรอยด์ฮอร์โมนได้

เป็นฮอร์โมนแห่งความเครียด ซึ่งพบว่าฮอร์โมนชนิดนี้เป็นฮอร์โมนที่ลดลงกว่าวัยอันควรบ่อยที่สุดมากกว่าไทรอยด์ฮอร์โมนเสียอีก คือพบได้ถึง 70-80 เปอร์เซ็นต์ การลดลงของฮอร์โมนชนิดนี้อย่างรวดเร็วส่งผลให้เหนื่อยง่าย สมรรถภาพทางร่างกายลดลง มีปัญหาผิวพรรณ เช่น ฝ้า กระ ต่างๆ ทนต่อความเครียดได้น้อย รูปลักษณ์ภายนอกจะดูแก่เร็ว รวมถึงเกิดไขมันสะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกายมากขึ้น  

ปัจจัยที่ทำให้ฮอร์โมนชนิดนี้ลดต่ำลงเกิดจาก ไลฟ์สไตล์ที่เคร่งเครียดและการใช้ชีวิตประจำวันแบบไม่ถูกต้อง เช่น นอนดึก ชอบทานอาหาร Junk Food หรือมีสุขลักษณะในการรับประทานอาหารไม่ดี ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอร์มาก ดื่มกาแฟบ่อยหรือมีการใช้สารกระตุ้น  เป็นต้น 

เป็นฮอร์โมนแห่งความเจริญเติบโต เมื่อเสื่อมสภาพจะทำให้ผิวเหี่ยวย่น มีรอยถุงใต้ตา แก้มห้อย ผิวแห้ง มีไขมันห้อยตามแก้ม ตามเหนียง หน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา สาเหตุที่ทำให้โกธฮอร์โมนลดต่ำลงได้แก่ การนอนดึก ชอบรับประทานของหวานหรือน้ำตาล การไม่ออกกำลังกาย ความเครียด เป็นต้น  

โดยสรุปคนที่มีไลฟ์สไตล์ที่ไม่ดี มีภาวะการขาดฮอร์โมนตัวใดตัวหนึ่ง อาจจะต้องมีการให้ฮอร์โมนเสริม เพื่อให้ฮอร์โมนในร่างกายกลับไปสู่สภาวะสมดุลให้ได้เร็วที่สุด ซึ่งถ้าเจ้าตัวไหวตัวเร็วแล้วหันกลับมาดูแลตัวเองดีๆ ก็จะฟื้นตัวได้เร็ว อาจจะใช้เวลาเพียง 6 เดือน ถึง 1 ปีเท่านั้น

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *